การฉีดฟิลเลอร์กลายเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่ช่วยปรับรูปหน้าและฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย แต่ก่อนตัดสินใจเข้ารับการฉีด เราควรทำความเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ฟิลเลอร์คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร ไปจนถึงข้อควรปฏิบัติทั้งก่อนและหลังทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติที่สุด บทความนี้จะสรุปทุกเรื่องราวที่คุณควรรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ
ฟิลเลอร์คืออะไร?
ฟิลเลอร์คือสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic acid หรือ HA ที่สกัดจากธรรมชาติผ่านกระบวนการพิเศษ ทำให้มีความปลอดภัยสูงและโอกาสในการแพ้ต่ำมากจนไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบก่อนฉีด ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าอาการแพ้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักเป็นการแพ้ยาชามากกว่าตัวฟิลเลอร์เอง
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารนี้เข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อช่วย เติมเต็ม ปรับรูปหน้า และ ยกกระชับ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีมิติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยและผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับ ความชำนาญของแพทย์ เป็นสำคัญ หากฉีดผิดตำแหน่ง เช่น ฉีดตื้นเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาผิวไม่เรียบเนียนหรือใบหน้าผิดรูปได้ครับ
การฉีดฟิลเลอร์: การปรับรูปหน้าเพื่อความอ่อนเยาว์
การฉีดฟิลเลอร์คือหัตถการทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับเติมสารเติมเต็มเข้าไปยังบริเวณต่างๆ ของใบหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงรูปทรง
สารเติมเต็ม เหล่านี้จะเข้าไปช่วย:
- เติมเต็ม: ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก หรือบริเวณที่มีรอยบุ๋มให้เต็มขึ้น
- ปรับรูปหน้า: ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าให้ได้สัดส่วนที่ต้องการ เช่น การปรับรูปคางหรือหน้าผาก
- ยกกระชับ: ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเต่งตึงและดูอ่อนเยาว์ขึ้น
การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และเสริมความงามให้กับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติครับ
Hyaluronic Acid คืออะไร ?
Hyaluronic Acid (HA) คือกรดที่ร่างกายของเราสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ตามธรรมชาติ มีอยู่ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะตามจุดเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะและเซลล์
สารชนิดนี้มีหน้าที่สำคัญในการช่วย เพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสี และ เพิ่มความยืดหยุ่น ตัวอย่างเช่น ในบริเวณข้อต่ออย่างหัวเข่า หากร่างกายขาดสารนี้จะทำให้เกิดความเจ็บปวดขณะเดิน เนื่องจากไม่มีสารที่ช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกและข้อต่อ
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Hyaluronic Acid จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางในวงการแพทย์เพื่อช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ รวมถึงนำมาใช้ในด้านความงามเพื่อบำรุงผิวพรรณด้วยครับ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการเพื่อความงามที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีข้อดีหลายประการดังนี้:
- เจ็บน้อยและไม่มีแผลเป็น: การฉีดใช้เข็มขนาดเล็ก ทำให้เจ็บน้อยกว่าและไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
- แก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างครอบคลุม: สามารถแก้ไขปัญหาใต้ตาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ ตาโหล หรือถุงใต้ตา
- ไม่ต้องพักฟื้น: ใช้เวลาน้อยในการทำ แต่ให้ผลลัพธ์ที่เห็นผลทันทีหลังฉีด โดยใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีเท่านั้น และหลังทำแทบจะไม่มีระยะเวลาพักฟื้นเลย
- ปลอดภัยสูง: ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ทำให้โอกาสในการแพ้ต่ำมาก หากไม่เคยแพ้ยาชามาก่อนก็ไม่ต้องกังวล
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ: สาร HA ฟิลเลอร์มีโมเลกุลหลายรูปแบบ ทำให้แพทย์สามารถเก็บรายละเอียดในการปรับรูปหน้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ดูเรียบเนียนและเป็นธรรมชาติ
ข้อเสียของการฉีด HA Filler
การฉีด HA Filler แม้จะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อจำกัดที่คุณควรพิจารณาดังนี้:
- ราคาสูงกว่า: HA Filler มีราคาต่อซีซีค่อนข้างสูงกว่า FAT Filler (การฉีดไขมัน) แต่ก็ถือว่ามีความคุ้มค่ามากกว่าในหลายกรณี เนื่องจากไขมันที่ฉีดไปแล้วอาจสลายหายไปจนหมดได้
- อาการปวดและบวม: ในบางรายอาจมีอาการปวดหรือบวมบริเวณที่ฉีด แต่โดยปกติแล้วอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
ฉีดฟิลเลอร์กี่วันถึงจะเห็นผล?
คุณสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์ เพราะฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยเติมเต็มและปรับรูปหน้าในทันที โดยทั่วไปแล้วจะเห็นผลลัพธ์ประมาณ 70-80% ทันทีหลังการฉีด
หลังการฉีดอาจมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ ยุบลงและเข้าที่ภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นจะเห็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์และเป็นธรรมชาติมากที่สุด
เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์เป็นการใช้สารเติมเต็มที่ปลอดภัยและไม่ใช่วิธีการผ่าตัดศัลยกรรม จึงไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานเหมือนการทำศัลยกรรม และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเลยครับ
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. ในประเทศไทย
การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเพื่อความปลอดภัยของคุณ ซึ่งปัจจุบันมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป อเมริกา และเอเชีย
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับการยอมรับและผ่าน อย. ในประเทศไทย ได้แก่:
- Restylane: เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกๆ ของโลกจากประเทศสวีเดน มีจุดเด่นด้านเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้โมเลกุลมีความคงตัวสูงและหลากหลาย สามารถเลือกใช้ได้หลายบริเวณ
- Juvederm: ฟิลเลอร์ยอดนิยมจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีความโดดเด่นเรื่องความเรียบเนียนและความยืดหยุ่นสูง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ
- Belotero: ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเนื้อเจลที่ละเอียดและกลืนไปกับผิวได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่ต้องการความเรียบเนียนสูง
- Neuramis: ฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีคุณภาพดีและราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าการทำหัตถการมีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจครับ
ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วจะมีขั้นตอนดังนี้:
1. การประเมินและวางแผนการรักษา ในขั้นตอนนี้ แพทย์จะทำการประเมินและวิเคราะห์ปัญหาบนใบหน้าของคุณอย่างละเอียดในบริเวณที่ต้องการแก้ไข จากนั้นจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับชนิดและปริมาณของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาและโครงสร้างใบหน้าของคุณ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
2. การเตรียมผิวด้วยยาชา ก่อนการฉีดจริง แพทย์จะทำการทายาชาลงบนผิวหน้าของคุณ และรอให้ยาชาออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที เพื่อให้คุณรู้สึกสบายและลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด
3. การฉีดฟิลเลอร์ เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์เข้าไปยังบริเวณที่กำหนดไว้ โดยจะฉีดในชั้นผิวที่เหมาะสมกับบริเวณนั้นๆ ซึ่งแต่ละตำแหน่งจะมีความลึกของชั้นผิวที่ต่างกันไป ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 15-60 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณและปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
หากคุณมีประวัติแพ้ยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับการทำหัตถการ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดครับ
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์คงอยู่จะแตกต่างกันไปตามชนิดของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้และบริเวณที่ฉีด แต่โดยทั่วไปแล้ว ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) จะเริ่มสลายตัวไปตามธรรมชาติหลังจากการฉีด
โดยเฉลี่ยแล้ว ฟิลเลอร์จะคงอยู่ได้นานอย่างน้อย 9 เดือน และในฟิลเลอร์บางชนิดที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง งานวิจัยทางการแพทย์ระบุว่าสามารถอยู่ได้นานขึ้นอีก โดยมีอายุตั้งแต่ 12 เดือน, 18 เดือน, หรือนานถึง 24 เดือน เลยทีเดียว
สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก เช่น บริเวณคาง ฟิลเลอร์อาจจะอยู่ได้นานกว่าบริเวณอื่นๆ การเลือกชนิดของฟิลเลอร์และตำแหน่งที่ฉีดจึงมีความสำคัญต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ครับ
ขนาดของโมเลกุลฟิลเลอร์: ความสำคัญต่อผลลัพธ์
ขนาดของโมเลกุลฟิลเลอร์เป็นปัจจัยสำคัญที่แพทย์ใช้ในการพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละบริเวณบนใบหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกันก็มีคุณสมบัติที่ต่างกันด้วย
1. ฟิลเลอร์โมเลกุลขนาดใหญ่ (Heavy Molecule) ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีโมเลกุลขนาดหนัก ทำให้มีความหนาแน่นและคงตัวสูง สามารถคงอยู่ในชั้นผิวได้นาน และมีการกระจายตัวน้อยกว่า จึงมีโอกาสเคลื่อนตัวได้ยาก เหมาะสำหรับการใช้ฉีดใน ผิวชั้นลึก เพื่อทำหน้าที่เป็นฐานในการยกกระชับโครงสร้างใบหน้า เช่น การเสริมขมับ คาง หรือการเติมแก้มส้มให้ได้รูป
2. ฟิลเลอร์โมเลกุลขนาดเล็ก (Light Molecule) ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีโมเลกุลขนาดเบาและมีความละเอียดสูง เหมาะสำหรับการฉีดใน ผิวชั้นตื้น เพื่อเก็บรายละเอียดและแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด เช่น การเติมเต็มร่องใต้ตา ร่องแก้ม หรือริ้วรอยเล็กๆ เพื่อให้ผิวดูเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้น การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลที่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีดจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้นครับ
ฉีดฟิลเลอร์ใช้กี่ CC?
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดแต่ละครั้งนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาและโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินและวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและดูเป็นธรรมชาติที่สุด
โดยทั่วไปแล้วปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้จะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งและระดับปัญหา ดังนี้
- ร่องแก้ม: โดยปกติจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 ซีซี (cc) ขึ้นอยู่กับความลึกของร่องแก้ม
- ใต้ตา: มักใช้ประมาณ 1-2 ซีซี สำหรับการแก้ปัญหาตาโหลหรือรอยคล้ำใต้ตา
- คาง: การเสริมคางให้ได้รูปทรงที่สวยงามและสมดุลกับใบหน้าจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-3 ซีซี
- ขมับ: หากขมับตอบลึกอาจใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 ซีซีต่อข้าง เพื่อให้ใบหน้าดูอิ่มเต็มและได้สัดส่วน
- หน้าผาก: การเติมหน้าผากให้ดูโค้งมนและได้รูปทรง อาจใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 3-5 ซีซี
- แก้มส้ม/แก้มตอบ: การเพิ่มความอิ่มเอิบให้กับแก้ม เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ อาจใช้ประมาณ 2-4 ซีซี
โดยสรุปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการแก้ไขใบหน้าแต่ละส่วนสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 1-2 ซีซี จนถึง 20 ซีซี ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แนะนำปริมาณที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการและดูเป็นธรรมชาติที่สุดครับ
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา: ปริมาณและผลลัพธ์
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการแก้ไขปัญหาร่องลึก ความหมองคล้ำ และถุงใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแพทย์จะฉีดสารเติมเต็มเข้าไปยังบริเวณใต้ดวงตาเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป ทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและผิวบริเวณนั้นเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังช่วยเติมเต็มใยคอลลาเจนที่สลายไปตามวัย ทำให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ลง
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ควรใช้
โดยทั่วไป ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดใต้ตาจะแตกต่างกันไปตามปัญหาของแต่ละบุคคล แพทย์จะประเมินความลึกของร่องใต้ตาและลักษณะของผิวหนังเพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-4 ซีซี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ด้วย เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติในการเติมเต็มที่แตกต่างกันไป
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ถูกต้องจะช่วยลดความคล้ำและทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นจนเหมือนถุงใต้ตาดีขึ้น ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและไม่โทรมครับ
การฉีดฟิลเลอร์ Jawline (เก็บกรอบหน้า)
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูป Jawline หรือกรอบหน้า เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัดให้กลับมาคมชัดและมีมิติมากขึ้น
ปัญหากรอบหน้าไม่เข้ารูปมักพบได้บ่อยในผู้ที่เคยผ่าตัดเสริมคางแต่ซิลิโคนไม่รับกับแนวกราม หรือในผู้ที่เคยจัดฟัน การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มและปรับแนวกรามให้เป็นเส้นคมชัด ดูมีมิติมากขึ้น ทำให้รูปหน้าโดยรวมดูเรียวและได้สัดส่วนที่สวยงาม
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีด Jawline จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างและปัญหาของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วจะใช้ฟิลเลอร์เพื่อเก็บกรอบหน้าตั้งแต่ 1-4 ซีซี และสูงสุดไม่เกิน 6 ซีซี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อจนเกินไป
หากคุณต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปริมาณที่เหมาะสมและวางแผนการฉีดให้ได้รูปหน้าที่สวยงามที่สุดครับ
ฉีดฟิลเลอร์คางใช้กี่ CC?
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวยาวและได้สัดส่วนมากขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดคางจะอยู่ที่ 1-2 ซีซี เป็นค่าเฉลี่ย แต่ในบางกรณีอาจใช้ได้สูงสุดถึง 3 ซีซี ขึ้นอยู่กับรูปทรงคางเดิมและผลลัพธ์ที่ต้องการ
ฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดคางมักจะเป็นชนิดที่มี โมเลกุลแข็ง และมีความคงตัวสูง เพื่อให้สามารถคงรูปได้ดี ไม่เกิดการไหลย้อย และอยู่ได้นาน นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์คางยังรวมถึงการปรับบริเวณใต้ริมฝีปากล่าง เพื่อช่วยให้รูปคางดูสมดุลและไม่ยื่นมากจนเกินไป
การเลือกปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมและใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานจะช่วยให้คางของคุณได้รูปทรงที่สวยงามและเป็นธรรมชาติครับ
ฉีดฟิลเลอร์แก้มใช้กี่ CC? ยกแก้ม ยกกระชับ
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณแก้มเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าได้หลากหลาย ทั้งปัญหาร่องแก้มลึก แก้มตอบ และการยกกระชับใบหน้าโดยรวม ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าดูมีอายุเกินจริง
การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวดูอิ่มเต็มและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดแก้มจะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้ฟิลเลอร์อยู่ที่ประมาณ 1-2 ซีซี เพื่อเติมร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้น แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มตอบลึกหรือต้องการยกกระชับใบหน้าอย่างชัดเจน อาจต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากขึ้น โดยสามารถใช้ได้สูงสุดถึง 6 ซีซี เลยทีเดียวครับ
นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณแก้มยังช่วยเสริมมิติให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้นครับ
ฉีดฟิลเลอร์ปากใช้กี่ CC?
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นหัตถการที่ช่วยปรับรูปปากให้ดูสวยงามและมีสัดส่วนที่ลงตัวมากขึ้น นอกจากจะช่วยให้ริมฝีปากดูอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวลแล้ว ยังช่วยแก้ไขปัญหารูปปากที่ไม่สมมาตร ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์ลงได้อีกด้วย
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดปากจะขึ้นอยู่กับรูปปากเดิมและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยปกติแล้วจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ดังนี้:
- 1 ซีซี: สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือแก้ปัญหาริมฝีปากบาง ให้ดูมีสัดส่วนที่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
- 2 ซีซี: สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปากอย่างชัดเจน หรือปรับแก้ไขรูปปากที่บางมากให้ได้ทรงที่ต้องการ
โดยสรุป การฉีดฟิลเลอร์ปากนิยมใช้ฟิลเลอร์เริ่มต้นที่ 1 ซีซี และสามารถใช้ได้สูงสุดถึง 2 ซีซี ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประเมินและแนะนำปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้คุณได้รูปปากที่สวยงามและเป็นธรรมชาติที่สุดครับ
ฉีดฟิลเลอร์ขมับใช้กี่ CC?
การฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ หรือขมับบุ๋ม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูโทรมและมีอายุ รวมถึงทำให้โหนกแก้มดูเด่นขึ้นอย่างไม่สมส่วน
การเติมเต็มขมับจะช่วยปรับให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และได้สัดส่วนที่สมดุลมากขึ้น
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาขมับของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ดังนี้:
- เริ่มต้นที่ 1-2 ซีซี: สำหรับผู้ที่มีปัญหาขมับตอบไม่มากนัก การฉีดปริมาณนี้จะช่วยเติมเต็มให้ขมับดูอิ่มขึ้นและดูเป็นธรรมชาติ
- สูงสุดถึง 5 ซีซี: สำหรับผู้ที่มีปัญหาขมับตอบมากหรือยุบลึก อาจต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่มากขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับโครงสร้างใบหน้า
การเลือกใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมและได้รับการฉีดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ใบหน้าของคุณดูอ่อนเยาว์และได้สัดส่วนที่สวยงามยิ่งขึ้นครับ
สรุป: ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
โดยสรุปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการปรับรูปหน้าจะขึ้นอยู่กับลักษณะใบหน้าของแต่ละบุคคลเป็นหลัก เนื่องจากโครงสร้างใบหน้าและความต้องการในการแก้ไขปัญหาของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการให้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการประเมิน อย่างละเอียดก่อน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และแนะนำปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ และปลอดภัยครับ
ข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์
การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีหลังการฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
ข้อควรปฏิบัติ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำมากๆ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่ชอบน้ำ การดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูและคงสภาพได้ดีขึ้น
- ใช้ยาแก้ปวด: หากมีอาการปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด สามารถรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการได้
- ประคบเย็น: หากมีอาการบวมหรือรอยเขียวช้ำ สามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการบวมได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกดหรือนวดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 2-3 วัน
- แต่งหน้าได้ตามปกติ: สามารถแต่งหน้าได้ทันทีหลังการฉีด
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงความร้อน: ควรงดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความร้อนสูง เช่น การโดนแสงแดดจัด การอบซาวน่า การทำเลเซอร์ หรือการอาบน้ำอุ่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแรงๆ: ไม่ควรสัมผัส ลูบ ถู หรือนวดบริเวณที่ฉีดอย่างรุนแรง รวมถึงงดการสครับผิวและลอกหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อป้องกันอาการบวมและรอยช้ำที่อาจเพิ่มขึ้น
- งดออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักหรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเสียน้ำ เพราะอาจส่งผลให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นและฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้
- งดทำหัตถการอื่น: ควรงดการทำหัตถการหรือเลเซอร์อื่นๆ ในบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 4 สัปดาห์
หากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ รอยเขียวช้ำที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 5-14 วัน และผลลัพธ์จากฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานและสวยงามยิ่งขึ้นครับ
หลังฉีดฟิลเลอร์แล้วสามารถโดนแดดได้ไหม?
หลังฉีดฟิลเลอร์แล้ว คุณสามารถโดนแดดได้ตามปกติ โดยไม่ต้องกังวลว่าความร้อนจากแสงแดดจะส่งผลกระทบต่อตัวฟิลเลอร์โดยตรง เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปจะอยู่ในชั้นผิวหนังที่ลึกกว่า คือชั้นเนื้อเยื่อหุ้มกระดูก ซึ่งอยู่คนละชั้นกับผิวหนังชั้นนอกที่โดนแดด
ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายนั้นได้รับการรับรองมาตรฐานจากทั่วโลก และเป็นสารที่มีอยู่ในผิวของมนุษย์อยู่แล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบจากแสงแดด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าฟิลเลอร์จะไม่เป็นอันตรายจากแสงแดด แต่ ผิวหนังของคุณอาจได้รับผลกระทบ หากโดนแดดจัดเป็นเวลานานๆ เพราะแสงแดดจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งกร้าน และยังส่งผลต่อเม็ดสีผิว (Melanocyte) โดยตรง ทำให้ผิวคล้ำเสียและไหม้แดดได้ง่าย ดังนั้นจึงควร ทาครีมกันแดด เป็นประจำเพื่อปกป้องผิวของคุณครับ