การเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน เป็นวิธีศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพื่อช่วยปรับรูปร่างและเพิ่มขนาดของสะโพกให้ได้สัดส่วนที่สวยงามและดูเซ็กซี่อย่างเป็นธรรมชาติ โดยศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปในบริเวณที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นใต้กล้ามเนื้อหรือเหนือเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ
เทคนิคการผ่าตัดหลักในการเสริมสะโพก
ปัจจุบัน มี 2 วิธีหลักในการผ่าตัดเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสรีระและความต้องการของแต่ละบุคคล:
- การผ่าตัดแบบซ่อนแผลยาว (บริเวณร่องก้น): ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลผ่าตัดบริเวณรอยพับก้น ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ซ่อนรอยแผลเป็นได้ดี ทำให้มองไม่เห็นได้ง่ายเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า
- การผ่าตัดแบบเปิดแผลสั้น (บริเวณสะโพก): เทคนิคนี้จะเปิดแผลผ่าตัดที่บริเวณสะโพกโดยตรง ซึ่งอาจมองเห็นรอยแผลเป็นได้
การเลือกซิลิโคน: ถุงซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกมีหลายรูปทรงและขนาด ศัลยแพทย์จะทำการประเมินและให้คำปรึกษาอย่างละเอียด เพื่อร่วมกันเลือกขนาดและรูปทรงที่เหมาะสมที่สุดกับรูปร่างของคุณ ให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและลงตัวอย่างที่คุณต้องการ

ศัลยกรรมเสริมสะโพก: นิยามของรูปร่าง S-Curve ที่สมบูรณ์แบบ
การศัลยกรรมเสริมสะโพก หรือ การเสริมก้น คือการปรับสรีระรูปร่างให้มีส่วนเว้าโค้งที่ชัดเจนระหว่างเอว สะโพก และต้นขา เพื่อสร้างรูปร่างแบบ S-Curve ที่สวยงามและน่าดึงดูดใจ ช่วยเสริมความมั่นใจและบุคลิกภาพในการแต่งตัวของคุณ
หากสะโพกของคุณมีลักษณะแบนหรือหย่อนคล้อย อาจทำให้ช่วงขาดูสั้นลงและรูปร่างโดยรวมไม่สมส่วน หลายคนพยายามออกกำลังกายอย่างหนักด้วยการสควอท แต่ก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การเสริมสะโพกจึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้ดูมีมิติและน่าดึงดูดใจมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีรูปร่างผอมบาง การเสริมสะโพกจะช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ ทำให้ลำตัวดูมีเอวและทรวดทรงที่สวยงามสมบูรณ์แบบในทุกมุมมอง
การศัลยกรรมเสริมสะโพกจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มขนาด แต่เป็นการสร้างสรรค์รูปร่างให้ดูสมส่วนและสวยงามในแบบที่คุณต้องการค่ะ
การเสริมสะโพกเหมาะกับใครบ้าง?
การเสริมสะโพกเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปร่างและเพิ่มความมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:
- ผู้ที่มีสะโพกบุ๋ม หรือไม่มีส่วนเว้าโค้ง: หากรูปร่างของคุณดูตรงเมื่อมองจากด้านหน้า ทำให้ขาดทรวดทรงและสัดส่วนที่ชัดเจน การเสริมสะโพกจะช่วยสร้างส่วนโค้งเว้าให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีก้นเล็ก ลีบ หรือแบน: สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายด้วยการสควอทแล้วแต่ก้นยังไม่กระชับ การเสริมสะโพกจะช่วยเติมเต็มให้ก้นดูอิ่มและกลมมนมากขึ้น ทำให้คุณกล้าที่จะสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูปหรือชุดเดรสที่เน้นรูปร่างได้อย่างมั่นใจ
- ผู้ที่เสริมหน้าอกแล้วแต่รูปร่างยังไม่สมส่วน: การเสริมหน้าอกอาจทำให้ร่างกายช่วงบนดูสมส่วนมากขึ้น แต่หากสะโพกยังเล็กหรือแบน อาจทำให้รูปร่างโดยรวมดูไม่สมดุล การเสริมสะโพกเพิ่มเติมจะช่วยให้สัดส่วนของร่างกายดูลงตัวและเซ็กซี่มากขึ้น
- ผู้ที่มีบั้นท้ายหย่อนยานตามวัย: การเสริมสะโพกสามารถช่วยแก้ไขปัญหาบั้นท้ายที่หย่อนคล้อยตามอายุ ให้กลับมาดูเต่งตึงและมีรูปทรงที่สวยงามอีกครั้ง
การเสริมสะโพกจึงเป็นวิธีที่ช่วยตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างสรรค์รูปร่างให้มีสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นค่ะ
เสริมสะโพกที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์: แตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยเทคนิคเฉพาะ
ที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์ เรามีเทคนิคการเสริมสะโพกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งพัฒนาโดยศัลยแพทย์ตกแต่งระดับอาจารย์ เพื่อมอบผลลัพธ์ที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ และปลอดภัยยิ่งกว่าที่อื่น
ความแตกต่างที่สร้างผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ
เทคนิคการผ่าตัดแผลเล็กเพียงจุดเดียว: ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลขนาดเล็กเพียง 3-4 เซนติเมตร บริเวณร่องก้นตรงกลางระหว่างบั้นท้ายทั้งสองข้าง ทำให้สามารถซ่อนรอยแผลเป็นได้อย่างแนบเนียน ดูกลมกลืนไปกับสรีระของคุณ
การวางตำแหน่งซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ: แพทย์จะใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปใน ชั้นใต้กล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้คือสะโพกที่ดูเป็นธรรมชาติ คลำขอบซิลิโคนไม่ได้ เพราะมีชั้นกล้ามเนื้อ ไขมัน และผิวหนังคลุมอยู่ ทำให้สะโพกเนียนนุ่ม ไม่เป็นก้อนนูน ผิดรูป หรือขยับเคลื่อนไปมาเหมือนการวางในชั้นตื้น
การประเมินตำแหน่งที่แม่นยำและเฉพาะบุคคล: ก่อนการผ่าตัด แพทย์จะทำการวิเคราะห์โครงสร้างของแต่ละบุคคลอย่างละเอียด เพื่อประเมินตำแหน่งในการวางถุงซิลิโคนให้เหมาะสมที่สุด หากคุณต้องการสะโพกที่ผายกว้าง แพทย์จะวางซิลิโคนค่อนไปด้านข้าง แต่หากต้องการให้ก้นดูนูนเด่นขึ้น จะวางซิลิโคนค่อนมาทางตรงกลาง
ผ่าตัดผ่านกล้อง Endoscope ลดอาการบาดเจ็บ: นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้เทคนิคการผ่าตัดผ่าน กล้อง Endoscope จากประเทศเยอรมัน ซึ่งช่วยให้ศัลยแพทย์มองเห็นเส้นประสาทและเนื้อเยื่อได้อย่างชัดเจน ทำให้วางตำแหน่งซิลิโคนได้อย่างแม่นยำ ลดการบาดเจ็บ ลดการเสียเลือด และช่วยลดโอกาสการเกิดพังผืดแข็งในอนาคต
ด้วยเทคนิคเฉพาะตัวนี้ ทำให้การเสริมสะโพกที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์เป็นการลงทุนเพื่อรูปร่างที่สมส่วนและสวยงามอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลหรือผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ


ซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพก: รูปทรงและคุณสมบัติ
การศัลยกรรมเสริมสะโพกจะใช้ถุงซิลิโคนที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งมีความแตกต่างจากซิลิโคนเสริมหน้าอกอย่างชัดเจน เพื่อให้ทนทานต่อแรงกดและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันได้ดีที่สุด
คุณสมบัติของซิลิโคนเสริมสะโพก
- ความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง: ซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกผลิตจากวัสดุที่แข็งแรงและมีความเหนียวมากกว่า มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ไม่เสียรูปทรงและไม่แตกง่าย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ทั้งการนั่ง นอน ยืน หรือเดิน
- บรรจุด้วยซิลิโคนเจลความหนาแน่นสูง: ภายในถุงจะบรรจุด้วยซิลิโคนเจลที่มีความหนาแน่นสูง (Highly Cohesive Gel) เพื่อให้คงรูปและให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีการผลิตแบบถุงน้ำเกลือ เนื่องจากบริเวณสะโพกมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใหญ่มากกว่าเต้านม ทำให้มีความเสี่ยงที่ถุงน้ำเกลือจะรั่วได้ง่ายกว่า
รูปทรงของซิลิโคนเสริมสะโพก
ซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกมีให้เลือก 2 รูปทรงหลัก ได้แก่:
- ทรงกลม (Round): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสะโพกที่ดูอิ่มเต็มและมีส่วนเว้าโค้งที่ชัดเจน
- ทรงหยดน้ำ หรือทรงอนาโตมี่ (Anatomy): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสะโพกที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีสัดส่วนที่โค้งมนจากบนลงล่าง
ศัลยแพทย์จะช่วยคุณเลือกรูปทรงและขนาดที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ได้สะโพกที่สวยงามและลงตัวกับรูปร่างของคุณค่ะ
ซิลิโคนทรงกลม (Round)
ซิลิโคนทรงกลมเป็นหนึ่งในรูปทรงยอดนิยมสำหรับการเสริมสะโพก ด้วยรูปทรงที่สมมาตรจึงช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถวางตำแหน่งในการใส่ได้ง่าย
- ข้อดี:
- ง่ายต่อการวางตำแหน่ง: ด้วยรูปทรงกลมที่เท่ากันทุกด้าน ทำให้การวางซิลิโคนในตำแหน่งที่เหมาะสมทำได้ง่ายและรวดเร็ว
- ข้อเสีย:
- ไม่สามารถเสริมเฉพาะจุดได้: รูปทรงกลมจะเพิ่มความนูนได้ในภาพรวม จึงไม่เหมาะกับการเน้นการเสริมในจุดที่เฉพาะเจาะจง
- เหมาะกับใคร:
- ผู้ที่ก้นแบนมาก: ซิลิโคนทรงกลมเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีบั้นท้ายแบนราบ เมื่อเสริมเข้าไปแล้วจะช่วยให้ก้นดูเด้งและมีความนูนพุ่งบริเวณกึ่งกลางก้นอย่างชัดเจน ทำให้ได้สะโพกที่กลมมนและมีมิติ
ซิลิโคนทรงอนาโตมี่ (ทรงหยดน้ำ)
ซิลิโคนทรงอนาโตมี่ หรือที่เรียกกันว่าทรงหยดน้ำ เป็นรูปทรงที่ออกแบบมาเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด โดยมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เหมาะกับการแก้ไขปัญหาบางจุด
- ข้อดี:
- เสริมเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ: ด้วยรูปทรงที่มีความโค้งมนคล้ายหยดน้ำ ทำให้สามารถเน้นการเติมเต็มในตำแหน่งที่ต้องการได้ดี เช่น การแก้ไขปัญหาสะโพกบุ๋มด้านข้าง
- ข้อเสีย:
- ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์: การผ่าตัดด้วยซิลิโคนทรงนี้ต้องใช้ความละเอียดและประสบการณ์สูง หากแพทย์ขาดความชำนาญอาจทำให้วางตำแหน่งซิลิโคนได้ไม่เหมาะสม หรือเกิดการเคลื่อนตัวของซิลิโคนในภายหลังได้
- เหมาะกับใคร:
- ผู้ที่พอมีก้นอยู่แล้ว: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปร่างให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเน้นเสริมในบางจุด
- ผู้ที่มีปัญหาสะโพกบุ๋มด้านข้าง: ซิลิโคนทรงหยดน้ำจะช่วยเติมเต็มบริเวณที่บุ๋ม ทำให้สะโพกดูผายออกและได้รูปทรงที่กลมกลืนไปกับเนื้อสะโพกเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ

ตำแหน่งการวางซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพก
การเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมในการวางถุงซิลิโคนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์และความปลอดภัยในระยะยาว โดยมี 2 ตำแหน่งหลัก ดังนี้:
- ใต้ผิวหนัง (เหนือกล้ามเนื้อ)
- ข้อเสีย: วิธีนี้ไม่เป็นที่แนะนำในปัจจุบัน เนื่องจากซิลิโคนมีโอกาสเคลื่อนที่ได้ง่ายตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย และมีโอกาสมองเห็นขอบถุงซิลิโคนได้อย่างชัดเจนเมื่ออาการบวมลดลง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ถุงซิลิโคนจะทะลุได้ในบางกรณี
- ใต้กล้ามเนื้อ
- ข้อดี: เป็นเทคนิคที่ถือเป็น มาตรฐานสากล ในปัจจุบัน เพราะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ซิลิโคนไม่เคลื่อนที่ และลดโอกาสในการมองเห็นขอบถุงได้อย่างมาก
- ข้อจำกัด: เทคนิคนี้ต้องอาศัย ความชำนาญสูงของศัลยแพทย์ตกแต่ง โดยเฉพาะ เพื่อวางตำแหน่งซิลิโคนให้ถูกต้องและปลอดภัย และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อเส้นประสาทสำคัญบริเวณขา
ดังนั้น การเสริมสะโพกด้วยเทคนิคการวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณได้สะโพกที่สวยงามและปลอดภัยในระยะยาวค่ะ
ผ่าตัดอย่างปลอดภัยและได้มาตรฐานที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์
ที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์ เราให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้รับบริการทุกท่าน เราจึงพร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐานโรงพยาบาลอย่างแท้จริง
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ศัลยแพทย์ตกแต่งของเราทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูง ผ่านการศึกษาเฉพาะทางมาไม่ต่ำกว่า 12 ปี และมีประสบการณ์การผ่าตัดศัลยกรรมมาแล้วกว่า 10 ปี เราจึงมั่นใจว่าทีมแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาของคนไข้แต่ละคนได้อย่างแม่นยำและตรงจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและลงตัวกับคุณที่สุด
ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน
โรงพยาบาลของเรามีห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมระบบกรองอากาศและระบบฆ่าเชื้ออุปกรณ์ (sterile) ที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือช่วยชีวิตและทีมแพทย์พยาบาลพร้อมดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมงในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือกว่าการทำศัลยกรรมในคลินิกทั่วไป
การเลือกโรงพยาบาลเลอลักษณ์จึงเป็นการตัดสินใจที่มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของผลลัพธ์ค่ะ
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเสริมสะโพก
เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด ผู้เข้ารับบริการควรเตรียมความพร้อมตามคำแนะนำดังต่อไปนี้:
- งดอาหารและยาบางชนิด: ควรงดการทานยาแอสไพริน, อาหารประเภทกระเทียม, หัวหอม, น้ำมันปลา, วิตามินอี, และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากอาหารและยาเหล่านี้อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดและเพิ่มความเสี่ยงในการเสียเลือดระหว่างผ่าตัด
- งดน้ำและอาหาร: งดน้ำและอาหารทุกชนิดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ
- แจ้งประวัติสุขภาพ: แจ้งโรคประจำตัว (เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน, หรือความดันโลหิตสูง) และประวัติการแพ้ยาทุกชนิดให้แพทย์ทราบล่วงหน้าอย่างละเอียด หากมีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ แพทย์อาจแนะนำให้เลื่อนการผ่าตัดออกไปก่อนเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- งดสูบบุหรี่: ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากนิโคตินจะส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตและทำให้แผลหายช้า
- วางแผนการผ่าตัด: การผ่าตัดเสริมสะโพกไม่ควรทำร่วมกับการผ่าตัดใหญ่ส่วนหน้าของร่างกาย เช่น การเสริมหน้าอกหรือการตัดไขมันหน้าท้อง เพราะจะทำให้ยากต่อการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด ยกเว้นการดูดไขมันในปริมาณเล็กน้อยที่อาจสามารถทำร่วมกันได้
- เตรียมผู้ดูแล: ควรจัดเตรียมผู้ดูแลไว้ที่บ้าน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในช่วงพักฟื้นหลังการผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเสริมสะโพก
การพักฟื้นเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:
- การพักฟื้นในโรงพยาบาล: ผู้ป่วยจะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 2 คืน เพื่อให้ทีมแพทย์และพยาบาลได้ดูแลอย่างใกล้ชิด
- การเคลื่อนไหวในช่วงแรก: ในช่วง สัปดาห์แรก ควรพักผ่อนให้มาก แต่ไม่จำเป็นต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา โดยทั่วไปแล้ว หลังจากวันที่ 4 คุณจะสามารถเริ่มเดินหรือนั่งอย่างช้า ๆ ได้ ถึงแม้จะยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตาม
- ท่านอน: ในสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ควรนอนคว่ำเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการนอนหงาย เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงซิลิโคนถูกกดทับ
- การดูแลแผล:
- สามารถเปิดผ้าพันแผลได้ในวันที่ 2 หรือ 3 หลังผ่าตัด
- ทำความสะอาดแผลทุกวันจนถึงวันนัดตัดไหม
- ระวังไม่ให้พลาสเตอร์เปียกน้ำ
- การใช้ชีวิตประจำวัน:
- ใน สัปดาห์ที่สอง สามารถนั่งบนเบาะนุ่ม ๆ ได้
- หลังจากผ่าตัดประมาณ 10 วัน จึงจะสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
- อาการทั่วไป:
- อาจมีอาการปวดบริเวณสะโพกได้ใน 1-3 เดือนแรก ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น
- โดยทั่วไปแล้ว คุณจะเริ่มไม่รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่สะโพกภายใน 6-8 เดือน
- การใส่กางเกงรัด: ควรใส่กางเกงรัดตามคำแนะนำของแพทย์เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อช่วยควบคุมตำแหน่งของซิลิโคนไม่ให้เคลื่อนที่
การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้คุณฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจค่ะ
เสริมสะโพกที่ไหนดี? คู่มือค้นหาคลินิกและโรงพยาบาลที่ใช่สำหรับคุณ
การเสริมสะโพกเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ การเลือกวิธีการที่เหมาะสมและสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานจึงเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัยที่สุด
วิธีเสริมสะโพกที่ได้รับความนิยม
มีหลากหลายวิธีในการปรับปรุงรูปร่างสะโพก โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน:
- การศัลยกรรมเสริมสะโพก (Hip Augmentation Surgery): เป็นการผ่าตัดเพื่อใส่ซิลิโคนหรือวัสดุเสริมที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มขนาดและสร้างรูปร่างสะโพกที่ต้องการ วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ถาวรและชัดเจนที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงและต้องใช้เวลาในการพักฟื้น จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
- การฉีดไขมันตัวเอง (Fat Injection): เป็นการย้ายไขมันส่วนเกินจากบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายมาฉีดเติมเต็มที่สะโพก ข้อดีคือเป็นไขมันจากร่างกายตัวเองทำให้ปลอดภัยสูง แต่ผลลัพธ์อาจไม่ถาวร และขนาดที่ได้อาจไม่มากเท่ากับการใช้ซิลิโคน
- การออกกำลังกาย: การฝึกซ้อมที่เน้นกล้ามเนื้อสะโพก เช่น การสควอท (Squat) สามารถช่วยเพิ่มขนาดและความกระชับของบั้นท้ายได้ เป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่ต้องเจ็บตัว แต่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ
- การสวมสายรัดหรือชุดเสริมสะโพก (Hip Padding): เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด โดยใช้อุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาเพื่อสวมใส่ใต้เสื้อผ้า แม้จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงถาวร แต่ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างความมั่นใจในวันสำคัญได้
การเลือกคลินิกและโรงพยาบาล
ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหน ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก การเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือจะช่วยให้คุณอุ่นใจได้ตลอดกระบวนการ:
- เลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ: ศัลยแพทย์ควรมีวุฒิบัตรเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและมีประสบการณ์ในด้านการเสริมสะโพกโดยเฉพาะ
- สถานพยาบาลต้องได้มาตรฐาน: ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง มีห้องผ่าตัดที่สะอาดและปลอดภัย รวมถึงมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่พร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉิน
- พิจารณารีวิวและผลลัพธ์: ศึกษาจากรีวิวของผู้ใช้บริการจริง และดูผลงานของแพทย์เพื่อพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้ตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่
เสริมสะโพกด้วยไขมันตัวเอง สามารถทำได้หรือไม่ ?
เสริมสะโพกด้วยไขมันตัวเอง คืออะไร?
การเสริมสะโพกด้วยไขมันตัวเอง หรือที่เรียกว่า “ไขมันเอนเกรฟต์” (Fat Grafting) เป็นเทคนิคการศัลยกรรมที่ช่วยปรับรูปร่างสะโพกให้ดูอวบอิ่มและได้สัดส่วนมากขึ้น โดยการใช้ไขมันจากร่างกายของตัวผู้ป่วยเอง กระบวนการนี้ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 2 ขั้นตอน:
- การดูดไขมัน (Liposuction): ศัลยแพทย์จะทำการดูดไขมันส่วนเกินจากบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายที่มีไขมันสะสม เช่น หน้าท้อง, ต้นขา, หรือสีข้าง
- การฉีดไขมัน: นำไขมันที่ดูดออกมามาผ่านกระบวนการคัดแยกและทำความสะอาด จากนั้นจึงนำไปฉีดเข้าสู่บริเวณสะโพกเพื่อเพิ่มขนาดและปรับรูปทรงให้สวยงาม
ข้อดีของการเสริมสะโพกด้วยไขมันตัวเอง
- ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ: เนื่องจากใช้ไขมันของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ทั้งในด้านรูปร่างและสัมผัส
- ไม่ต้องใช้วัสดุแปลกปลอม: ช่วยลดความเสี่ยงที่ร่างกายจะต่อต้านหรือเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์จากวัสดุภายนอก
- ได้ประโยชน์ 2 ต่อ: นอกจากจะได้สะโพกที่สวยขึ้นแล้ว ยังช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ไม่ต้องการไปพร้อมกัน
- ผลลัพธ์ที่คงทน: เมื่อเซลล์ไขมันใหม่ยึดติดกับเนื้อเยื่อในบริเวณที่ฉีดแล้ว ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้อย่างยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งอย่างละเอียด เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยของกระบวนการค่ะ
การเสริมสะโพกมีกี่วิธีอะไรบ้าง ?
การเสริมสะโพกเป็นการปรับรูปร่างบั้นท้ายให้สวยงามและได้สัดส่วน ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ดังนี้:
- การผ่าตัดเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน (Buttock Implants):
- ลักษณะ: เป็นการผ่าตัดเพื่อใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปบริเวณสะโพก
- จุดเด่น: เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ถาวร มีความปลอดภัยสูง และเป็นที่นิยมมากที่สุด สามารถเพิ่มขนาดสะโพกได้อย่างชัดเจนและได้รูปทรงที่ต้องการ
- การเสริมสะโพกด้วยการฉีดไขมันตัวเอง (Fat Grafting):
- ลักษณะ: ศัลยแพทย์จะทำการดูดไขมันส่วนเกินจากบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง เอว หรือต้นขา แล้วนำมาฉีดเข้าไปที่สะโพก
- จุดเด่น: เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยม เพราะใช้ไขมันของตนเองจึงมีความปลอดภัยสูงและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ไม่ต้องการไปพร้อมกัน
การเลือกวิธีเสริมสะโพกที่เหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับการประเมินโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะพิจารณาจากรูปร่างเดิมและผลลัพธ์ที่คุณต้องการค่ะ
ข้อเสียของการเสริมสะโพกด้วยการฉีดไขมันตัวเอง
- ไขมันบางส่วนสลายไป: ไขมันที่ฉีดเข้าไปบางส่วนจะสลายตัว ทำให้ขนาดของสะโพกหลังฉีดใหม่ๆ กับหลังจากผ่านไป 6 เดือนจะแตกต่างกันอย่างมาก
- ต้องฉีดเติมซ้ำ: เพื่อให้ได้ขนาดที่คงที่และชัดเจน อาจจำเป็นต้องมีการฉีดเติมไขมันซ้ำอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยอาจต้องทำทุกๆ 6-12 เดือน
- ขนาดไม่แน่นอน: การคงอยู่ของไขมันที่ฉีดเข้าไปไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ขนาดของสะโพกทั้งสองข้างอาจไม่เท่ากัน เนื่องจากไขมันแต่ละส่วนมีการสลายตัวไม่เท่ากัน
- ข้อจำกัดด้านปริมาณ: การฉีดไขมันมีข้อจำกัดด้านปริมาณที่สามารถฉีดได้ในแต่ละครั้ง ทำให้ไม่สามารถเพิ่มขนาดได้มากเท่าที่ต้องการ หากต้องการผลลัพธ์ที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน การใช้ซิลิโคนอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
ดังนั้น การเลือกวิธีเสริมสะโพกที่เหมาะสมที่สุดจึงควรพิจารณาจากทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี รวมถึงปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินรูปร่างและเป้าหมายของคุณอย่างละเอียดค่ะ
อันตรายของการฉีดสารที่ไม่ใช่มาตรฐาน
การฉีดสารที่ไม่ใช่มาตรฐาน เช่น ฟิลเลอร์, คอลลาเจน, ซิลิโคนเหลว, หรือน้ำมันมะกอก เพื่อเสริมสะโพก อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากสารเหล่านี้มักจะ ไม่สลายตัว และอาจ จับตัวเป็นก้อน ทำให้ผิวหนังบริเวณสะโพกเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน และขรุขระ นอกจากนี้ สารยังสามารถ ไหลไปยังตำแหน่งอื่น ได้ง่าย ทำให้สะโพกผิดรูปและไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวที่ยากต่อการแก้ไข
ภาวะซิลิโคนแข็งหรือแตก เกิดจากสาเหตุอะไร?
ภาวะซิลิโคนแข็ง (Capsular Contracture) หรือการที่พังผืดหดตัวรัดถุงซิลิโคนจนทำให้สะโพกแข็งและเสียรูปทรง อาจเกิดจากสาเหตุหลักดังนี้:
- ภาวะเลือดออกมากระหว่างผ่าตัด: หากศัลยแพทย์ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้เกิดการเสียเลือดในระหว่างการผ่าตัดมากเกินไป ซึ่งนำไปสู่การอักเสบและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างพังผืดจำนวนมากเพื่อห่อหุ้มถุงซิลิโคน
- การติดเชื้อหลังผ่าตัด: การติดเชื้อสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายสร้างพังผืดมากขึ้นและเกิดภาวะซิลิโคนแข็งได้
- การดูแลหลังผ่าตัดไม่ถูกต้อง: การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การไม่นวดคลึงสะโพก หรือการมีแรงกดทับบริเวณสะโพกในช่วงพักฟื้น ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดพังผืดและสะโพกแข็งได้เช่นกัน
หลังผ่าตัดเสริมสะโพก สามารถนั่งได้ไหม?
คุณสามารถเริ่มนั่งได้หลังจากผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์ โดยควรนั่งบนเบาะนุ่มๆ และระมัดระวังไม่ให้มีแรงกดทับสะโพกมากเกินไป
ในส่วนของการนอน ควรนอนคว่ำอย่างเคร่งครัดในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักไปกดทับถุงซิลิโคน ซึ่งจะช่วยรักษารูปทรงของสะโพกให้สวยงามและลดความเสี่ยงที่แผลจะปริได้
Q&A
การเสริมสะโพก ต่างกับการเสริมก้นอย่างไร?
จริงๆแล้ว การเสริมสะโพก จะเสริมทั้งสะโพกและก้น แต่ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้ ว่าขาดบริเวณไหนมากกว่า แพทย์จะทำการเลือกทรงซิลิโคน และวางตำแหน่งซิลิโคน เพื่อแก้ไขปัญหาของคนไข้แต่ละราย เช่น หากคนไข้มีปัญหาสะโพกบุ๋มมาก แต่พอมีก้นอยู่บ้าง แพทย์จะวางซิลิโคนเน้นเสริมช่วงสะโพก เพื่อให้ผายออกด้านข้าง แต่ก็จะได้เสริมบริเวณก้นให้นูนออกมาด้วนหลังด้วยเช่นกัน
หลังการเสริมสะโพก เวลานั่งจะรู้สึกลำบากไหม?
เวลานั่งจะไม่ได้นั่งทับซิลิโคน เนื่องจากตำแหน่งของซิลิโคนจะอยู่เหนือบริเวณที่นั่งทับ จึงไม่ได้รู้สึกถึงซิลิโคน
ซิลิโคนสะโพกมีโอกาสขยับไหม?
แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสร้างช่องสำหรับการใส่ซิลิโคนที่มีขนาดเล็กพอดี มีพื้นที่แคบ เมื่อใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปจะฟิต ไม่มีที่ให้ขยับ ซิลิโคนจะไม่เคลื่อน แต่หากแพทย์ไม่มีประสบการณ์ อาจทำช่องใหญ่ ทำให้ซิลิโคนมีโอกาสเคลื่อนได้