ในโลกที่เต็มไปด้วยมลภาวะและสิ่งปนเปื้อนในชีวิตประจำวัน สารพิษโลหะหนักสามารถสะสมในร่างกายของเราได้อย่างไม่รู้ตัว จนอาจกลายเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย คีเลชั่นบำบัดจึงเป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากร่างกาย ช่วยฟื้นฟูระบบต่างๆ ให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น และเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจากภายในสู่ภายนอก
คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
คีเลชั่นบำบัดเป็นวิธีการรักษาทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับผู้ที่มีภาวะสารพิษโลหะหนักสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะสารตะกั่ว สารปรอท และสารหนู โดยแพทย์จะให้สารคีเลเตอร์เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อจับกับโลหะหนัก จากนั้นสารประกอบที่เกิดขึ้นจะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะและอุจจาระ
คีเลชั่นบำบัด: ดีท็อกซ์สารพิษในหลอดเลือดดำ
ในยุคปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกับมลภาวะและสิ่งปนเปื้อนมากมายรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นในอากาศ น้ำ อาหาร หรือแม้แต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งสะสมของสารพิษ “โลหะหนัก” เช่น ตะกั่ว ปรอท หรือแคดเมียม ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลายช่องทาง ทั้งการหายใจ การรับประทานอาหาร หรือการสัมผัสทางผิวหนัง
เมื่อโลหะหนักเหล่านี้สะสมอยู่ในร่างกายมากเกินกว่าที่ร่างกายจะกำจัดออกได้หมด จะส่งผลให้เกิดการอักเสบในอวัยวะต่างๆ และยังเป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
หนึ่งในวิธีการที่ได้รับความนิยมและได้ผลดีในการขจัดสารโลหะหนักออกจากเลือด คือ “คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)” ซึ่งเป็นการดีท็อกซ์สารพิษออกจากเลือดและช่วยฟื้นฟูระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้นครับ
คีเลชั่นคืออะไร ?
คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) คือการล้างสารพิษในเลือด โดยแพทย์จะให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย
ในกระบวนการนี้จะใช้กรดอะมิโนที่เรียกว่า EDTA (Ethylene diamine tetra-acetic acid) เป็นหลัก สาร EDTA มีคุณสมบัติพิเศษในการ จับกับโลหะหนัก เช่น สารปรอท ตะกั่ว และสารหนูที่สะสมอยู่ในร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถดึงเอาแคลเซียมส่วนเกินที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดออกมาได้ด้วย
เมื่อ EDTA จับกับสารพิษแล้ว สารประกอบที่เกิดขึ้นจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านระบบขับของเสียต่างๆ เช่น ทางเหงื่อ และปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณโลหะหนักที่สะสมในร่างกายและฟื้นฟูระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้นได้ครับ
คีเลชั่นบำบัดช่วยอะไรได้บ้าง ?
การทำคีเลชั่นบำบัดไม่เพียงแต่ช่วยกำจัดสารพิษโลหะหนัก แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมในหลายด้าน ดังนี้
1. กำจัดโลหะหนักและฟื้นฟูเซลล์ คีเลชั่นบำบัดสามารถ กำจัดโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถฟื้นฟูการทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารคีเลทจะช่วยดึงแคลเซียมส่วนเกินที่เกาะตามผนังหลอดเลือดออกมา และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแคลเซียมให้กับกระดูกมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก
2. ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ในระหว่างที่สารคีเลทกำลังถูกขับออกจากร่างกายทางไต มันจะช่วย ชะลอการก่อตัวของไตรกลีเซอไรด์ ส่งผลให้ช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง
3. ฟื้นฟูระบบการทำงานของร่างกาย นอกจากนี้ การล้างสารพิษในเลือดยังช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น:
- ระบบการทำงานของปอด ดีขึ้น
- ลดการอักเสบ ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะการอักเสบที่ผิวหนังและข้อต่อ
- ฟื้นฟูระบบประสาทสัมผัส ทำให้การรับรู้รสชาติและการได้ยินดีขึ้น
- ลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นผลชัดเจนตั้งแต่การทำครั้งที่ 2
การบำบัดด้วยวิธีนี้จึงเป็นการช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภายในสู่ภายนอก ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นอย่างยั่งยืนครับ
อันตรายจากโลหะหนักในร่างกาย
เมื่อร่างกายได้รับสารพิษโลหะหนักสะสมมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ และก่อให้เกิดอาการอันตรายได้ ดังนี้
- ระบบทางเดินอาหาร: อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
- ระบบทางเดินหายใจและหัวใจ: เพิ่มความเสี่ยงของอาการต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ และความดันโลหิตผิดปกติ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับปอดอย่างปอดบวมหรือปอดอักเสบ
- ระบบประสาท: อาจทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความจำเสื่อม หรือสูญเสียความทรงจำชั่วคราว
- เพิ่มความเสี่ยงสำหรับสตรีมีครรภ์: อาจทำให้เกิดภาวะแท้ง
- สูญเสียสมดุลของตับและไต: ส่งผลให้ตับและไตทำงานผิดปกติ จนอาจเกิดอาการตัวเหลืองและบวมน้ำได้
หากคุณสงสัยว่าร่างกายได้รับสารพิษโลหะหนัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องครับ
ข้อดีของคีเลชั่นบำบัด
คีเลชั่นบำบัดมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างครอบคลุม โดยช่วยดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกายและฟื้นฟูระบบการทำงานต่างๆ ให้ดีขึ้น
ประโยชน์หลักต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ คีเลชั่นช่วย ดีท็อกซ์สารพิษในหลอดเลือด และ ขับโลหะหนักที่ตกค้างออกไป ทำให้หลอดเลือดมีความสะอาดและยืดหยุ่นมากขึ้น ส่งผลให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วย ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง และโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคเบาหวานและอาการหน้ามืด
ประโยชน์อื่นๆ ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ คีเลชั่นยังส่งผลดีต่อร่างกายในหลายด้าน เช่น:
- ลดการอักเสบ ของผิวหนังและข้อต่อ
- ช่วย บรรเทาอาการหอบหืดและภูมิแพ้
- ฟื้นฟูระบบประสาทสัมผัส ทำให้การรับรู้รสชาติ ภาพ และเสียงดีขึ้น
- บรรเทาอาการเหน็บชา
- ช่วยให้ ระบบการทำงานของปอดดีขึ้น
- ลดโอกาสเกิดมะเร็ง และบรรเทาอาการของโรคอัลไซเมอร์
- ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ
- ช่วยให้ อาการอ่อนเพลียเรื้อรังหมดไป
การทำคีเลชั่นบำบัดจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและฟื้นฟูร่างกายจากภายในสู่ภายนอกครับ
คีเลชั่นบำบัดมีผลเสียหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่?
คีเลชั่นบำบัดถือเป็นการบำบัดที่ค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการกำจัดสารพิษโลหะหนักออกจากร่างกาย
- สารคีเลทไม่ดึงสารอาหารสำคัญออกไป: สารคีเลทที่ใช้ในการบำบัดถูกออกแบบมาให้จับเฉพาะโลหะหนักและแคลเซียมส่วนเกินที่เกาะตามผนังหลอดเลือดเท่านั้น ไม่ได้เหนี่ยวนำสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ ในร่างกายให้ถูกขับออกมา
- การกำจัดออกจากร่างกาย: สารคีเลทนี้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้และมีค่าครึ่งชีวิตสั้นเพียง 45 นาที ซึ่งหมายความว่าจะถูกขับออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่ตกค้างในร่างกาย
- ความปลอดภัย: การทำคีเลชั่นบำบัดจึงถือว่ามีความปลอดภัยสูงต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดครับ
ขั้นตอนในการทำคีเลชั่นบำบัดที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์
ที่โรงพยาบาลเลอลักษณ์ เรามีขั้นตอนการทำคีเลชั่นบำบัดที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
ขั้นตอนที่ 1: การซักประวัติและตรวจเลือด แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติสุขภาพของคุณอย่างละเอียด ทั้งอาการในปัจจุบันและประวัติทางการแพทย์ เพื่อพิจารณาว่าคุณสามารถทำคีเลชั่นบำบัดได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ จากนั้นจะทำการตรวจเลือดด้วยเครื่อง Live Blood Analysis เพื่อวิเคราะห์สภาพเลือดเบื้องต้นก่อนเริ่มการรักษา
ขั้นตอนที่ 2: เริ่มต้นการบำบัด หลังจากประเมินผลแล้ว พยาบาลวิชาชีพจะเริ่มให้สารละลายคีเลชั่นทางหลอดเลือดดำ ซึ่งกระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ในระหว่างนี้คุณสามารถพักผ่อนได้อย่างสบาย
ขั้นตอนที่ 3: การติดตามผล เมื่อครบกำหนดเวลา พยาบาลจะถอดสายน้ำเกลือและสอบถามอาการของคุณ หากไม่มีอาการผิดปกติก็สามารถเดินทางกลับบ้านได้ โดยแพทย์จะนัดหมายให้คุณเข้ารับการบำบัดอย่างต่อเนื่องทุก 1 สัปดาห์
การประเมินผลลัพธ์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แพทย์แนะนำให้ทำคีเลชั่นบำบัดอย่างน้อย 10-15 ครั้ง และจะมีการตรวจเลือดด้วยเครื่อง Live Blood Analysis ซ้ำอีกครั้งหลังการทำครั้งที่ 11 เป็นต้นไป เพื่อวัดผลการเปลี่ยนแปลงและดูความสำเร็จของการดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกายครับ
ข้อควรระวังและข้อปฏิบัติสำหรับคีเลชั่นบำบัด
การทำคีเลชั่นบำบัดเป็นการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับบางกลุ่มเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
- ผู้ที่มีปัญหาตับและไต: ผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับและไตบกพร่อง ไม่ควรทำคีเลชั่นบำบัด
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: สตรีที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการทำคีเลชั่นบำบัด
- ผู้ที่รับเคมีบำบัด/ฮอร์โมนบำบัด: ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือฮอร์โมนบำบัด ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำ
การเตรียมตัวก่อนทำคีเลชั่นบำบัด
- คุณ ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ สามารถเข้ารับบริการได้ทันที
การดูแลตัวเองหลังทำคีเลชั่นบำบัด
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ในช่วง 3 วันแรกหลังการบำบัด ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร เพื่อช่วยให้สารคีเลทที่จับกับโลหะหนักถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะได้อย่างรวดเร็ว
- ใช้ชีวิตตามปกติ: คุณสามารถรับประทานอาหารและใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเหมาะสมในการทำคีเลชั่นบำบัด สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องได้ครับ
อาการไม่พึงประสงค์หลังทำคีเลชั่นบำบัด
หลังการทำคีเลชั่นบำบัด ผู้เข้ารับบริการบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียในช่วง 1-2 วันแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สารคีเลทดึงเอาแคลเซียมส่วนเกินออกจากระบบหลอดเลือด
อย่างไรก็ตาม อาการนี้จะหายไปเองในวันที่ 3 เนื่องจากร่างกายจะดึงแคลเซียมที่สะสมอยู่ในกระดูกกลับเข้าสู่ระบบการไหลเวียนตามปกติ ทำให้ร่างกายกลับสู่ภาวะสมดุลดังเดิมครับ
ความเป็นมาของคีเลชั่นบำบัด
ในปัจจุบัน ผู้คนในเมืองต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศและอาหารการกินในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ สะสมในร่างกายทีละน้อย จนในที่สุดก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น อาการมึนหัว คลื่นไส้ อาเจียน ไปจนถึงอาการที่รุนแรงขึ้นอย่างความดันโลหิตสูงหรืออาการเหน็บชา
เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หลายโรงพยาบาลและสถาบันความงามจึงได้นำเทคนิคการรักษาที่เรียกว่า “การดีท็อกซ์สารพิษ” มาใช้ ซึ่งมีหลายวิธีแตกต่างกันไป บางวิธีอาจตอบโจทย์ได้เพียงแค่ระบบเดียว เช่น การสวนล้างลำไส้ แต่สำหรับวิธีการที่สามารถกำจัดสารพิษและโลหะหนักที่เข้าสู่ร่างกายได้ในทุกช่องทาง นั่นคือ “คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)” ซึ่งเป็นการฉีดสารคีเลทเข้าไปในร่างกายเพื่อจับและขับสารพิษออกจากเลือดครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำคีเลชั่นบำบัด
Q: คีเลชั่นใช้เวลาทำนานไหม?
A: การให้สารคีเลชั่นบำบัดด้วยการให้สารทางหลอดเลือดดำจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
Q: ต้องทำบ่อยแค่ไหน?
A: แนะนำให้ทำ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยปกติจะแนะนำให้ทำ 3-5 ครั้งขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการตรวจเลือดและคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแล
Q: ตัวยาที่ใช้ในการให้สาร 1 ครั้งคืออะไร?
A: ตัวยาหลักที่ใช้คือ EDTA (Ethylene diamine tetra-acetic acid) ซึ่งมีหน้าที่ในการจับกับโลหะหนักที่ตกค้างในร่างกาย เช่น สารปรอท ตะกั่ว และสารหนู รวมถึงแคลเซียมส่วนเกินที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด จากนั้นจะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ
Q: ข้อห้ามและข้อควรระวังสำหรับคีเลชั่นบำบัดคืออะไร?
A: การทำคีเลชั่นบำบัดมีข้อห้ามสำหรับบางกลุ่มบุคคล ได้แก่:
- ผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับและไตบกพร่อง
- ผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ผู้ที่อยู่ระหว่างการให้เคมีบำบัดหรือฮอร์โมนบำบัด
Q: การเตรียมตัวก่อนทำคีเลชั่นบำบัดต้องทำอย่างไร?
A: ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆ เป็นพิเศษ สามารถเข้ารับบริการได้ทันที
Q: การปฏิบัติตัวหลังทำคีเลชั่นบำบัดต้องทำอย่างไร?
A:
- ดื่มน้ำให้มาก: ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร ในช่วง 3 วันแรก เพื่อเร่งการขับสารคีเลทและโลหะหนักออกทางปัสสาวะ
- ใช้ชีวิตตามปกติ: สามารถทานอาหารและใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
Q: มีอาการไม่พึงประสงค์หลังทำหรือไม่?
A: ในช่วง 1-2 วันแรก อาจมีอาการอ่อนเพลียได้เล็กน้อย เนื่องจากสารคีเลทดึงแคลเซียมออกจากระบบไป แต่ร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกกลับเข้าสู่ระบบตามปกติ ทำให้อาการหายไปเองในวันที่ 3 ครับ